วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คำที่มักเขียนผิด

เพื่อนกลุ่มไลน์ส่งกลอน "คำที่มักเขียนผิด" นี้มาลงท้ายว่าครูดวงใจ ท่านคงเป็นผู้แต่ง ผมจึงไปเสริชในอินเตอร์เน็ตเพื่อขออนุญาตครูดวงใจ แต่ไปหาได้ใน Facebook ของพี่สุวรรณดี สิริชัยเวชกุล จึงขออนุญาตท่านนำมาเผยแพร่ในบล็อกนี้ เป็นประโยขน์กับสาธารณะสืบไปจ้ะ 
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำที่มักเขียนผิด
.....บ่อยครั้งที่มีการจดสะกดผิด
มักสะกิดบอกกล่าวไปให้รีบเปลี่ยน
ค่อนข้างแปลกที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่นักเรียน
ผู้ที่เขียนคำผิดนี้มีทั่วไป
.....จึงรวบรวมซ่องสุมคำกลุ่มเสี่ยง
เอาแค่เพียงที่อยากบ่นทนไม่ไหว
ขอโทษทีที่ทักท้วงเพราะห่วงใย
พี่น้องไทยเจ้าของภาษาอย่าเคืองกัน
.....ต่อไปนี้มีคำไหนใครเคยผิด
ภารกิจ กังวาน บ้านจัดสรร
เบญจเพส เจตจำนง องค์ราชัน
ดอกไม้จันทน์ อายัด หน้าปัดนาฬิกา
.....หญิงแม่ม่าย ลายเซ็น เห็นจะจะ
กาลเทศะ ประจัญบาน ประจันหน้า
เกิดอาเพศ เวทมนตร์ สนนราคา
แมวสีสวาด ดาดฟ้า อุปาทาน (คนละคำกับ อุปทาน:อุปสงค์)
.....บ่นพึมพำ สัมมนา สง่าราศี
ปีติยินดี ศีรษะ อวสาน
สุคติ ลูกนิมิต พิสดาร
ชัชวาล แทรกแซง แมงกะพรุน
.....โพนทะนา ผาสุก อุกกาบาต
อนุญาต ราดหน้า พายุไต้ฝุ่น
กิจจะลัษณะ วางก้าม ความสมดุล
บังสุกุล งูสวัด ปัดรังควาน
.....จัตุรัส เจียระไน ไวทายาด
ฆราวาส บาดทะยัก เครื่องจักสาน
สัพยอก ดอกจัน ดลบันดาล
สร้อยสังวาล สุกใส บันได ดำรง
.....เลือกสรรหา อาเจียน เกษียณอายุ
พัสดุ ถั่วพู พู่ระหง
ผัดไทย พะแนง แกงบวด ทรวดทรง
อานิสงส์ พะวงหลงใหล ลำไย พะยูน
.....นกพิราบ สาปแช่ง แมลงสาบ
จาระไน ไมยราบ หายสาบสูญ
ตะลิงปลิง วิ่งเปี้ยว ข้าวเหนียวมูน
 รักเทิดทูน รังเกียจ ละเมียดละไม
.....วันทยาวุธ วันทยหัตถ์ มัสมั่น
อัฒจันทร์ อายัด อัธยาศัย
ผูกพัน สังเกต เภทภัย
พิสมัย โพระดก รกชัฎ
.....ทยอย ทแยง แซ็ว แซ่บ โล่ แคบหมู
เกร็ดความรู้ พาณิชย์ ติดสัด
สร้างสีสัน สิงโต โลกาภิวัตน์
สะกิด สกัด รสชาติ ลาดตระเวน
.....บอระเพ็ด อเนจอนาถ เล่ห์กระเท่ห์
แมงดาทะเล แมลงดานา อุ๊ย! ตาเถน
ดันเผอเรอ หลับผล็อย หน็อยแน่ พิเรนทร์
หกคะเมน มุกตลก นกอินทรี
.....ไอศกรีม อาจิณ บิณฑบาต
สุญญากาศ ทะนง(ทระนง) ทูต เท่ ภูตผี
เซนติเมตร เกล็ดปลา จาระบี
อิสรเสรี ลิงทโมน โขนละคร
.....ฤกษ์พานาที เลิกรา นานา อเนก
เกกมะเหรก มงกุฎ อุทาหรณ์
ถนนลาดยาง เครื่องรางของขลัง พึงสังวร
ขอผัดผ่อน สิงสถิต ประดิดประดอย
.....พอสมควรแก่เวลาและวาระ
เห็นไหมคะ ใช่น้อยนิด ที่ผิดบ่อย
ใช่แล้วค่ะ คำพวกนี้มีไม่น้อย
ถึงต้องคอย เตือนนย้ำไว้เข้าใจนะคะ
ครูดวงใจ
เรียนอาจารย์ Phennapar Sangsasri โปรดชี้แนะเพิ่มเติมตามที่เห็นสมควรค่ะ..กราบ

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559

มะเขือเทศยำเต้าเจี้ยว

ตระกูลผมนั้นมีบรรพบุรุษมาจากเกาะไหหลำ เรื่องการปรุงอาหารและรับประทานอาหารนั้นฝังอยู่ในดีเอ็นเอ รบเร้าคุณอา รศ. วนิดา บำรุงไทย ให้ส่งภาพมะเขือเทศยำเต้าเจี้ยว อาหารจานเด็ดที่คุณอาคิดค้นขึ้นมา มาลงในบล็อก พอได้มาปุ๊บผมยังไม่ได้เอามาลงปั๊บเพราะมัวแต่ติดนู่นติดนี่ วันนี้มีเวลาว่างมากหน่อยผมเลยถือโอกาสเรียบเรียงเรื่องของมะเขือเทศยำเต้าเจี้ยวมาลงไว้ประดับโลก โปรดติดตามเรื่องและภาพด้านล่างได้เลย

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ยำเต้าเจี้ยว กินกับข้าวต้มมื้อเช้า ( ถ้าคุณหิวแล้ว กินกับข้าวต้มมื้อดึกเลยไหมละ)

เมนูนี้เกิดจากอ่านพบว่า สมัยฮิโรชิมาถูกทิ้งนิวเคลียร์ แพทย์และพยาบาลจำต้องอยู่ที่รพ.ในพื้นที่ ดูแลผู้ป่วย โดยกินอาหารที่ปรุงด้วยมิโซะ (คล้ายเต้าเจี้ยว แต่หมักเละกว่า) ว่าป้องกันกัมมันตภาพรังสีได้
บ้านคุณแม่เขาทำยำเต้าหู้ยี้ เลยลองทำยำเต้าเจี้ยวแบบเต้าหู้ยี้ คือซอยหอม พริก บีบมะนาว
อร่อยกว่ายำเต้าหู้ยี้ ใส่มะเขือเทศเพราะลูกสาวชอบกินมะเขือเทศ ก็อร่อยมาก หน้าฝนมีขิงอ่อน ซอยใส่ด้วย เลยได้จานเด็ดมาหนึ่งจาน อร่อยเลิศค่ะ

ใช้มะเขือเทศค่อนข้างโตสี่ลูก มะเขือเทศควรห่ามหน่อย  ใส่เต้าเจี้ยว 3 ช้อนโต๊ะ พยายามให้น้ำน้อยหน่อย ใส่หอมซอยเยอะๆ ถ้าไม่ชอบเปรี้ยวมาก ไม่ต้องบีบมะนาว เพราะได้ความเปรี้ยวจากมะเขือเทศอยู่แล้วถ้าชอบเผ็ด ซอยพริกขี้หนูใส่ด้วย  ยำใส่ตู้เย็นไว้สักพักแล้วจึงนำออกมารับประทาน อาหย่อย!!

ผู้มีความดันอาจต้องระวัง เพราะเต้าเจี้ยวเค็มหน่อย

Call off the meeting

เมื่อสักครู่นี้นั่งดูรายการถามตรง ๆ กับจอมขวัญที่คุณจอมขวัญคุยกับคุณคริสโตเฟอร์ ไรท์ มี Idiom ที่คุณคริสต์ยกตัวอย่างมาพูดถึงคือ Call off คุณคริสต์อธิบายว่าเมื่อเราพูดถึง Call off the meeting นี้เราจะใช้ในความหมายของ Cancel (ยกเลิก)  ดังนััน Call off the meeting ก็คือ Cancel the meeting นั่นเอง คุณคริสต์บอกว่าถ้าฝรั่งใช้ call off แล้วทำให้เราเข้าใจผิด ฝรั่งก็ผิดในฐานะที่ไม่ใช้คำง่ายคือ cancel แต่คำ call off  นี้ก็เป็นคำไม่ยากเกินไปที่คนไทยเราพอจะเข้าใจได้  รายละเอียดอื่น ๆ โปรดไปหาฟังในยุทูปเอานะจ๊ะ มีประโยชน์มาก ผมในฐานะที่ทำงานกับฝรั่งมานาน เจอฝรั่งหลายเชื้อชาติ ก็ไม่เคยได้ยินฝรั่งใช้คำนี้สักที จึงขอทำบันทึกสั้น ๆ ไว้ให้คุณ ๆ ได้นำไปใช้กันจ้ะ

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

The King and I

เมื่อครั้งผมยังเล็กพ่อบุญธรรมมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อแอนนากับพระเจ้ากรุงสยามเก็บท้าทายสายตาผมอยู่ในตู้หนังสือ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เคยหยิบหนังสือเล่มนั้นมาอ่านสักที มารู้ทีหลังว่าภาคภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ชื่อ Anna and the King of Siam ซึ่งตอนหลังถูกนำมาสร้างทั้งละครเพลงและหนังในชื่อ The King and I อันโด่งดัง ผมขอพักเรื่องพระเจ้ากรุงสยามไว้ตรงนี้ก่อนและขอตัดตอนไปที่ทำงานของผมนะจ๊ะ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวหน้าฝรั่งของผมพูดไทยได้ชัดมากและรู้ศัพท์ภาษาไทยแบบพูดแสลงไทยได้สบาย ๆ ทีนี้ก็กลายเป็นคุณปนโทษเพราะพนักงานหลาย ๆ ท่าน สื่อสารกับฝรั่งด้วยการพูดไทยเพราะสะดวกใจสบายลิ้น แต่ผมไม่เห็นด้วยจ้ะ ผมเห็นว่าการที่เราเจอเจ้าของภาษานั้นเป็นโอกาสทองในการฝึกปรือภาษาต่างชาติของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป คุณที่มีโอกาสก็โปรดหมั่นคุยกับชาวต่างชาติเถอะจ้ะ ฝึกฝนกันได้ไม่เสียสตางค์

ผมเองก็ได้นายฝรั่งนี่แหละที่ช่วยขัดช่วยเกลาภาษาอังกฤษให้ผมอยู่เรื่อย ๆ หลายปีก่อนเวลาเขียนประโยคภาษาอังกฤษเวลาผมจะเขียนถึงประโยคว่าผมและแจ็ค ผมก็เขียนแบบเรา ๆ เขียนกันคือ I and Jack  แต่นายฝรั่งเขาบอกว่าฝรั่งไม่ยกตัวเองขึ้นก่อนคนอื่น เขายกคนอื่นขึ้นก่อนเสมอ ดังนั้นประโยคแบบที่ผมจะเขียนว่าผมและแจ็คในภาษาไทยนั้น ในภาษาอังกฤษเราต้องเขียนว่า Jack and I  หัวหน้ายังยกหนังมาด้วยบอกว่ายูจำหนังดังได้ไหม The King and I ไงเขาไม่ได้เขียนว่า I and the King สักหน่อยนี่ละวิธีเขียนที่ถูกต้องของฝรั่งเขาละ ตั้งแต่วันนั้นมาผมเขียนขึ้นต้นประโยคแบบนี้ถูกต้องเรื่อยมาจ้ะ ผมจำได้แล้ว The King and I  

ผมจะไม่เขียน I and Jack ผมจะเขียน Jack and I....

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

กลอนยามว่าง

หลายปีมาแล้วคุยกันกับพี่หน่องเธียรชัย อิศรเดช ว่าคนโบราณทำอะไรนี่มันเลิศ ลึกและล้ำ มีอารมณ์ร่ายบทกวีงาม ๆ ประดับโลกไว้ พี่หน่องบอกว่าคนโบราณชีวิตมันไม่รีบร้อน เร่งรัดขนาดนี้ มีเวลาทำอะไรให้ลึกให้ละเอียดให้ดีให้งาม หลายอาทิตย์ที่แล้วพี่หน่องคงมีเวลาและอารมณ์จึงส่งกลอนมาในกลุ่ม ผมนั้นถึงจะมีอารมณ์แต่ก็เพิ่งจะมีเวลา วันนี้จึงขอนำมาลงประดับโลกไว้ในบล็อกนี้จ้ะ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อยากมีสักพันมือเอาไว้ยื้อชีวิตคน อยากมีสักพันตนไว้แก้จนคนทั้งหลาย
 อยากอยู่อีกพันปีมีชีวีที่ไม่ตาย ดับโลกที่วุ่นวายให้มลายในมือเรา

แต่นี้นะชีวิตแค่เพียงคิดก็โง่เขลา สังขารก็บางเบาเพียงไม้ฟาดก็อาจตาย
เวลาในชีวิตแค่นั่งคิดก็ลบหาย รำไรวันสุดท้ายที่ปลายทางวางไว้แล้ว

สองมือที่ถือจอบแม้ใจชอบก็ใจแป้ว บ่ายเย็นมองเห็นแกวจะค่ำแล้วนะตัวเรา
สองขาที่พาเดินไม่เพลิดเพลินอย่างก่อนเก่า แข้งขาต้องบรรเทาได้หยูกยาหาทาไป

รำไรในชีวิตที่นั่งคิดมาแต่ไหน อยากเห็นป่าในใจ ได้อวดโฉมประโลมชม
กี่วันหรือพันปีอันป่านี้จะได้ดม ซึ่งดอกหอมที่ล้อมลม ประสมเสียงสำเนียงไพร

สิิ้นใจในวงป่า แหงนมองฟ้าสาแก่ใจ มืดแล้วหรือไฉนใยหมอกมิดและเงียบงัน
ดิ่งจมในความมืดและความเงียบเย็นเฉียบนั่น ตื่นตาหรือว่าฝันไม่รู้วันไม่รู้คืน
แต่ป่าในหัวใจยังโบกไหวให้ได้ชื่น หลับนี้ที่ยั่งยืนไม่ขอตื่นชั่วนิรันดร์

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


 ในบางคราวไม่ได้ร้าวอย่างคราวรัก แต่ใจแสบแทบกระอักสำลักสั่น
 ในบางคราวไม่ได้นองสองตาพลัน แต่เหมือนฝันซัดทรายชายทะเล

เมื่อเสียใจในน้ำคำจากมวลมิตร ที่คิดต่างมองต่างอย่างห่างเห
เมื่อคนใกล้ที่ให้ใจมาจำเจ สุดคะเนความลึกนึกคิดคน

 ในความเหมือนมีห่างจากทางเหมือน ในผองเพื่อนมีแผกแยกถนน
 ในยิ้มแย้มแฉล้มชื้นยังคืนตน ในความใกล้ก็ห่างจนพ้นคะเน

 เหมือนความรักที่ลักลอบแอบตอบรัก หลงสมัครรักชอบครอบเสน่ห์
 ให้หลงใหลในรสรุ้งจรุงเล่ห์ พอหมดรสก็คดเทกรวดคว่ำใจ

 ที่หลงเหลือให้เห็นเป็นเช่นหาด ที่คลื่นสาดฟาดเกลียวเทียวซ้ำให้
 ไม่มีรอยสักน้อยเดียวในเสี้ยวใจ ให้พอเห็นว่าเป็นไรรอยไม้เรียว

 แต่โดดเดี่ยวเหมือนเกลียวคลื่นกลางหมื่นคลื่น ที่ยกตัวแตกตื่นในคืนเสี้ยว
 พอลับหลังก็ลับหายล้วนคลายเกลียว เป็นหนึ่งเดียวในเนื้อน้ำตามกันมา

 พออีกเดี๋ยวก็เกลียวคลื่นฟื้นชีวิต มุ่งพิชิตพินิจฝั่งยังข้างหน้า
 พอถึงหาดก็ฟาดครืนสะอื้นครา แล้วซึมหายกับทรายซาหน้าทะเล

 ในบางคราวไม่ได้ร้าวอย่างคราวรัก แต่ใจแสบแทบกระอักสำลักสั่น
 ในบางคราวไม่ได้นองสองตาพลัน แต่เหมือนฝันซัดทรายแล้วหายไป

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

บานไม่รู้โรยป่า

มีสมุนไพรใกล้ตัวอยู่ต้นหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้จักมาได้สองสามปี เหตุก็มาจากวันหนึ่งอาเขยผมเห็นลุงแก่ ๆ มาเดินเก็บหญ้าอยู่ริมทาง  อาเขยผมก็สัมภาษณ์อีตาลุงว่ามาท่อม ๆ เก็บหญ้าไปทำไม แกบอกมาเก็บดอก "บานไม่รู่โรยป่า" ไปชงน้ำกิน เสร็จแล้วแกก็ยื่นต้นมันให้ดู แกบอกว่าแกเป็นคนอีสานหรือใต้จำได้ไม่ถนัด แถวบ้านแกใช้ต้น ดอกและรากตากแห้งมาต้มน้ำกิน โรคภัยไม่มาถามหาแกแก่มากแล้วก็ยังแข็งแรงปึ๋งปั๋งดี ประสบการณ์สำคัญคือญาติแก่ป่วยอยู่โรงพยาบาลอาการหนักเสมหะเต็มปอด แกเอาน้ำต้มนี่ค่อย ๆ ทยอยหยอดให้กิน เสลดหลุดออกมาเยอะมาก ๆ จนญาติแกหายเป็นปกติ

ต้นเป็นอย่างไรผมถ่ายรูปมาให้คุณดูด้านล่างนี้จ้ะ






หลังฟังลุงโฆษณาอาเขยผมก็เก็บ "บานไม่รู่โรยป่า" มาต้มกินมั่ง ปรากฏผลดีตามคำตาลุง คือปัสสาวะดีไม่มีติดขัด ปัสสาวะขาว ใส ไม่ต้องออกแรงเบ่ง ขับเสลดเป็นเลิศ และร่างกายแข็งแรงดีมาก ๆ
ลองเสริชกูเกิ้ลดูบางตำราว่าแก้เบาหวานได้อีกด้วย ผมในฐานะนักดื่มชาลองเอามาต้มกินแล้วทั้งสีทั้งกลิ่นดีทีเดียวเลยจ้ะ คือถึงเขาจะขึ้นเรี่ยดินเขาก็เป็นดอกไม้ มีกลิ่นหอมของดอกไม้ เหมือนเราต้มดอกเก็กฮวยแล้วได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ สรรพคุณดีอย่างนี้เข้าตำราว่ากินไปนาน ๆ ตาคุณจะดีอีกขึ้นอีกด้วย

วิธีเก็บก็ง่าย ๆ เลยจ้ะ  คุณถอนเขาทั้งราก เก็บมาทั้งรากต้นดอก เอามาล้างน้ำหลาย ๆ น้ำให้หมดดิน เอามาตากแดดให้แห้งเก็บไว้ได้นานเป็นปี ภาพด้านล่างนั่นเป็นแบบตากแดดแล้ว อาผมเขาเก็บมาให้ เวลาต้มคุณก็ใส่น้ำให้ท่วมต้มให้เดือดสักสามนาทีห้านาทีให้รสและกลิ่นออกมา กินอุ่น ๆ สักครึ่งแก้วก่อนนอน หรือจะกินต่างน้ำชาก็ได้ไม่ว่ากัน ยุคสมัยที่ข้าวยากหมากแพง คุณประหยัดสตางค์ในการซื้อชาและได้สุขภาพดีกลับมาด้วยแบบนี้ดีเลยจ้า






วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เสบียง : ร้าน Outdoor ที่ผมชอบ

ว่าจะเขียนถึงร้าน ๆ นี้นานแล้ว ร้านนี้เป็นร้านดังแบบเงียบ ๆ ในหมู่นักกอล์ฟ ที่ไปเล่นกอล์ฟในสนามไฟฟ้าบางปะกง เย็นมาถ้าไม่นั่งร้านนี้ ก็จะขับเลยไปนั่งที่ร้านครัวหน้าโก้ตรงสามเสา (เสาป้ายทางเข้าโรงไฟฟ้าบางปะกง) ก่อนถึงถนนใหญ่ เท่าที่ผมสังเกตดูร้านนี้หัวค่ำก็พอมีคนนั่งแต่ยิ่งดึกก็ยิ่งมีรถจอดเยอะ ผมในฐานะที่ตั้งต้นเป็นคนรักสุขภาพก็เคยแต่ไปนั่งตอนหัวค่ำ ถ้ามีโอกาสจะลองไปนั่งตอนดึก ๆ สักที 

มาดูบรรยากาศตอนเย็น ๆ หลังเลิกงานกันก่อน วิ่งจากถนนบางนาตราด ประมาณกม. 52 เลี้ยวซ้ายตรงสามเสาเหมือนจะวิ่งไปทางโรงไฟฟ้าบางปะกง มองขวาไปเรื่อย ๆ จะเห็นป้ายร้านเสบียง เลี้ยวขวามาจอดรถได้เลย



เดินขึ้นบันไดมาแล้วถ่ายย้อนหลังให้เห็นป้ายร้านอีกป้ายตรงทางเดินชัด ๆ



อากาศช่วงเย็น ๆ ถ้าไม่ใช่หน้าฝนก็จะสบาย ๆ น่าพูดน่าคุยกันเบา ๆ คลายล้าจากการทำงานหรือตีกอล์ฟพอสมควรทีเดียว โต๊ะด้านล่างนี่เป็นโต๊ะที่ผมชื่นชอบ ช่วงหน้าฝนยุงก็เยอะหน่อยตามสไตล์ชายทุ่ง


ถ่ายโต๊ะอื่น ๆ ให้ดู โต๊ะหน้าเวทีก็มี เมื่อก่อนมีดนตรีสดเล่นให้ฟังตอนสักสองทุ่ม ตอนนี้ไม่มีละ แขกไม่มากจนคุ้มค่ากับการลงทุน เด็กเสริฟก็ลดลง แต่ผมยังยืนยันนะว่าอาหารเขาอร่อย บรรยากาศสบาย ๆ และราคาไม่แพงมาก เดี๋ยวจะสรุปราคาให้ดูตอนท้าย ๆ



ร้านนี้จะเหมาะกับคนวัยทำงานที่ชอบพูดคุยกัน สบาย ๆ ถ้าชอบแนวดริ๊งค์แอนด์แด๊นซ์ ต้องเลยไปผับแถวนิคมอมตะนครหรือหาดบางแสนไปเลย วันที่ไปกินนั้นหลอกสาว ๆ ไปด้วยเลยสั่งสปายแดงมาให้เขากินกัน


สั่งนะ  จานแรกนี่ผมแนะนำเลยคือส้มตำหมูยอ แม่ครัวที่นี่เป็นคนเหนือ ใครชอบกินรสชาติจัดจ้าน ต้องจัดจานนี้มา หมูยอเขาอร่อย รสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ครบ



หญิงสาวเขาต้องกินส้มตำ ยำ ๆ อะไรพวกนี้ เราจัดส้มตำปูม้า รสชาติเดียวกันกับจานข้างบนแต่ได้ปูม้าสด ๆ มาเพิ่มความสุขให้มื้อนี้ ร้านอาหารนี่ถ้าทำสะอาด อาหารสด รสชาติดีและราคายุติธรรม ลูกค้าไม่ทิ้งเราแน่ ปูม้าด้านล่างสดและรสชาติดีฮะ


มาแนวกับแกล้มละ กุ้งแช่น้ำปลาราดน้ำจิ้มซีฟู้ด กุ้งสดเช่นเดียวกับปูด้านบน น้ำราดรสชาติกำลังดี


พวกชอบกินหมูเริ่มโวยวายละ สั่งหมูแดดเดียวมาให้เขาหน่อย หมูและเนื้อแดดเดียวตอนผมเป็นเด็ก ๆ นั้นบ้านผมเขาทำเป็นแผ่นแบน ๆ เนื้อออกแข็ง ๆ หน่อย แต่แถวนี้เขาหั่นเป็นเส้นยาว หมักเครื่องปรุงรสและน้ำตาลนิดหน่อย ขายส่งไปทั่วซื้อจากเจ้าเดียวกันก็รสชาติเดียวกัน



ตามมาอีกจานด้วยหมึกผัดไข่เค็ม จานนี้ไม่อะไรเสียหาย ร้านไหนสนิทกันบางครั้งผมจะขอให้เขาเปลี่ยนเป็นปลาหมึกผัดกะปิ ถ้าอยากรู้ผมเปลี่ยนทำไมลองกลับไปอ่านบทความผมเรื่อง "มากินกะปิกันเถอะ"
เดี๋ยวเขียนถึงร้านจ่าต๋อยเมื่อไหร่จะโชว์รูปหมึกผัดกะปิให้ดู หมึกแถวบางปะกงเท่าที่ผมกินนี่ก็สดดีเกือบทุกร้านเพราะประมงพื้นบ้านบางปะกงนี่เขาไปทะเลตอนเย็น เช้าก็กลับ หมึกที่เหนียวแบบเคี้ยวพลาสติกนั้นผมเคี้ยวและคาย เพราะเสียดายลิ้นผม



ปลากะพงทอดราดน้ำปลา สดกรอบ พร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด



ส้มตำข้าวโพดไข่เค็ม จานนี้รสชาติไม่เหมือนจานอื่น ๆ  รสแปลก ๆ ไม่กลมกล่อม ไม่อร่อย เหมือนให้มือสองเป็นคนทำ



ย่ำค่ำละให้ดูรูปไปเรื่อย ๆ










นั่งกินเบียร์ช้างหมดไปสี่ สปายแดงไปสาม น้ำเปล่า น้ำแข็งอีกอย่างละสาม เขาคิดเงิน 1,400 บาท ไม่ถูกมากแต่ไม่แพงแน่นอน ครัวเสบียงเปิดตั้งแต่เย็น ๆ ยันดึก มาจากกรุงเทพวิ่งตามถนนบางนา - ตราด จนเจอสามเสา หรือหาพิกัด GPS ของโรงไฟฟ้าบางปะกง หาไม่เจอจริง ๆ โทร. ถามตามเบอร์ด้านล่างได้เลย ฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ












วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

“บูรพาภิวัตน์ เอเชียคืออนาคต”

สองอาทิตย์ที่แล้ว ท่าน รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ รุจิระยรรยง คณบดีวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์  ภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยรังสิต ได้กรุณาส่งข้อความมาเผยแพร่ทางไลน์กลุ่ม เลยขออนุญาตเผยแพร่ต่อกันไปเป็นประโยชน์สาธารณะจ้ะ อนึ่ง ผมเห็นนักหนังสือพิมพ์หลายท่านชอบเขียนว่าอนาคตเราจะแย่ เราจะเป็นแบบอาเจนติน่า แบบเวเนซุเอล่า ฯลฯ ผมไม่คล้อยตามแนวคิดเหล่านั้น ผมเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ตามที่ท่านบรรยายด้านล่าง และผมยังมีความเห็นแบบสุดโต่งอีกอย่างว่าประเทศไทยเราในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเจริญรุ่งเรืองมากอย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยละจ้ะ ผมขอตั้งชื่อหนังสือล่วงหน้าแบบไม่กลัวหน้าแหกว่า Thai empire begins ถ้าเป็นพ่อผมเห็นหนังสือพิมพ์เขียนอย่างนี้ท่านจะบอกว่าตัดแปะติดข้างฝาแล้วมาดูกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


เสาร์ที่ผ่านมา (เข้าใจว่าคือเสาร์ที่ 25 มิย. 2559,เอื้ออังกูร)  ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อธิการวิทยาลัยบริหารรัฐกิจ และ ผอ.หลักสูตรปริญญาเอก สาขารัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต ม.รังสิต บรรยายให้ครูแนะแนวจากทั่วประเทศกว่าร้อยคน จัดที่โรงแรมดุสิตพัทยา โดยมหาวิทยาลัยรังสิต

ครูอาจารย์ทั้งหลายก้มหน้าทุ่มเททำงานในหน้าที่จนไม่มีเวลาติดตามความคืบหน้าหรือการเปลี่ยนแปลงของโลก ของภูมิภาค และของประเทศไปบ้าง จึงถือโอกาสนี้เล่าอะไรให้บูรพคณาจารย์เหล่านั้นฟัง

สถานการณ์โลก

1. จีนมี OBOR (One Belt One Road) เพื่อเชื่อมโลก รถไฟความเร็วสูงจากปักกิ่งสู่ลอนดอน จีนและสหรัฐมีบทบาทในประเทศไทยและอาเซียนสูงกว่าญี่ปุ่นและยุโรป

มหานโยบายต่างประเทศของจีน “One Belt One Road หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” หมายถึง เส้นทางสายไหมทางบก และทางทะเล เชื่อมยุโรปกับเอเชียเข้าด้วยกัน เป็นแนวคิดที่ทะเยอทะยานในทางบวก ถือเป็นยุทธศาสตร์ระดับโลก

ทางบก ใช้รถไฟความเร็วสูงเชื่อมจากปักกิ่ง ผ่านเอเชียกลาง ยุโรปตะวันออก ตะวันตก ไปถึงอังกฤษ และสเปน ส่วนทางทะเล ก็จะเชื่อมลงทางทะเลจีนใต้ มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งต้องผ่านทางใต้ของประเทศไทย

2. สหรัฐเริ่มปรับสมดุลด้านการต่างประเทศ (Rebalancing) นโยบายกลับมาซบเอเชีย

จากเดิมให้ความสำคัญและไปวุ่นวายกับสงครามตะวันออกกลาง ทุบกำแพงเบอร์ลิน เหตุการณ์ 911 สงครามอิรัก อัฟกานิสถาน แล้วยังมี ISIS และสงครามในซีเรียอีก

ตอนนี้ สหรัฐอเมริกาพยายามกลับมาสู่เอเชีย Balancing to Asia โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก และอาเซียน สหรัฐทิ้งเราไปตั้งแต่สงครามเวียดนาม ตอนนี้ต้องกลับมาเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับจีน จีนเติบโตขึ้นทุกวันในแบบก้าวกระโดด กล่าวคือ โตแบบจี้ก้นอเมริกา ขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐเท่านั้นเอง

3. ข้อขัดแย้งในทะเลจีนใต้ - ไทยเป็นตัวกลาง

จีนมีข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทางทะเล หมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้หลายจุด อาทิ ขัดแย้งกับไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม บรูไน ฉะนั้น จีนจึงพยายามให้อาเซียน (กัมพูชา และลาว) วางตัวเป็นกลาง เพื่อให้เกิดการเจรจาทวิภาคีกับประเทศคู่ขัดแย้ง ด้านสหรัฐอเมริกาก็พยายามใช้เวียดนามและฟิลิปปินส์มาคานอำนาจจีน

ส่วนไทยอยู่ตรงกลาง...

ข้อสังเกตคือ ตอนสหรัฐรบกับโซเวียต เรียกว่า ตัดสัมพันธ์ เป็นสงครามเย็นเต็มรูปแบบ แต่กับจีน ยังค้าขายกันอยู่ มีสัมพันธ์กันอยู่ แต่ก็แข่งขันกันรุนแรง ต่อสู้ผ่านการแผ่อิทธิพลเหนือประเทศในเอเชีย

4. บูรพาภิวัตน์ - เอเชียคืออนาคต

"บูรพาภิวัตน์" คือจีนกับอินเดียผงาด เอเชียกำลังจะรวยขึ้น ทั้งจีนและอินเดีย อินเดียใกล้ไทยทางทะเล จีนใกล้ไทยทางเหนือ เพราะฉะนั้น "บ้านเราคือทำเลทอง"

นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย 3 ล้าน แต่นักท่องเที่ยวจีน 10 ล้าน ไปไหนเจอแต่พี่จีน นักท่องเที่ยวจีนเป็นนักจ่ายเงินมือฉมัง คนจีนสนใจเครื่องสำอาง 2 ชาติ คือเกาหลีและไทย ประชากรหญิงจีนมี 700 ล้านคน ถ้าคนจีนอยากสวย หมายถึง โอกาสทางธุรกิจขนาดยักษ์

มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจอื่นๆ อีก แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจนี้มีข้อจำกัดคือ จีนเคยออกนโยบายคุมกำเนิด เพราะฉะนั้น ในอนาคตจะกลายเป็นสังคมสูงอายุ ไม่มีวัยหนุ่มสาวใช้แรงงาน เศรษฐกิจจะชะงัก ในขณะที่ อินเดียไม่มีการคุมกำเนิด ยังเติบโตได้อีกยาว
.................................

แล้วประเทศไทย... เรามีอะไร?

หนึ่ง เราเป็นประเทศรวยทรัพยากร ไม่ได้มีแค่ข้าวหรือยางพารา เนชันแนลจีโอกราฟิกบอกว่า ป่าประเทศไทยเป็นป่าชั้นดีไม่แพ้แอมะซอน มีพื้นที่สงวนชีวมณฑลถึง 4 แห่ง หรืออย่างห้วยขาแข้ง ทุ่งใหญ่นเรศวร หรือป่าทางระนองเป็นที่ที่มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์อันดับหนึ่งของโลก สัตว์เดินข้ามประเทศมาจากพม่า อินเดีย ส่วนเขาใหญ่หรือก็มีสัตว์ข้ามมาจากกัมพูชา

ป่าเหล่านี้ สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวระดับ high-end ราคาแพง นักท่องเที่ยวสีเขียวมีกำลังจ่ายมาก ถ้าทำได้จะเป็นตลาดขนาดใหญ่ แล้วรายได้เหล่านี้ จะถูกนำกลับมาพัฒนาและอนุรักษ์ป่าให้เป็นป่าชั้นหนึ่งของโลกได้

สอง เรามีสองมหาสมุทร ซ้ายมหาสมุทรอินเดีย ขวามหาสมุทรแปซิฟิก (อเมริกาก็มี 2 มหาสมุทร แอตแลนติกและแปซิฟิก)

สาม เรามีจังหวัดติดทะเล 23 จังหวัด

สี่ เรามีจังหวัดติดชายแดน 31 จังหวัด

เพราะฉะนั้น ด้านการศึกษา เด็กของเราควรรู้เรื่องเอเชียมากขึ้น เช่น เด็กทางเหนือควรรู้ภาษาจีนและพม่าจนถึงอ่านเขียนได้แตกฉาน เด็กอีสานควรพูดอ่านเขียนลาวและเวียดนามได้ ทางอีสานใต้ควรพูดเขมรได้ ส่วนทางใต้ควรพูดมลายูให้ได้ เป็นต้น เราต้องเตรียมเด็กของเราให้ข้ามไปทำงานในลาว พม่า เขมร เวียดนาม จีน

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสำคัญ แต่... ภาษาเพื่อนบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ได้บูมอยู่ที่ยุโรปและสหรัฐอีกต่อไป แต่บูมอยู่แถวบ้านเรา คือ ทั้งเอเชียและอาเซียน

สถานการณ์โลกสมัยใหม่ เป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ตอนสงครามเวียดนาม และยุคล่าอาณานิคม เราเป็นด่านหน้ารับสงคราม แต่ยุคนี้ เราเป็นด่านหน้าเช่นกัน แต่เป็นด่านหน้ารับเงิน

ห้า เรามีหลายเมืองที่เรียกว่าเป็นมหานครสำคัญของโลก (อันดับ 1 กรุงเทพฯ, อันดับ 9 ภูเก็ต, อันดับ 13 เชียงใหม่, อันดับ 26 พัทยา) กรุงเทพฯ ที่เรารังเกียจ คิดว่าสกปรก จำได้แต่ว่าน้ำท่วม อากาศแย่ พอสำรวจออกมา ชนะปารีส โตเกียว สิงคโปร์ ฮ่องกง เพราะฉะนั้น เราไม่ธรรมดา!

ด้านการศึกษา เราต้องทำให้สอดคล้องเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและบริการ ยอมรับก่อนเลยว่า คนไทยไม่ได้เก่งเรื่องศาสตร์แข็ง แต่เก่งศาสตร์อ่อน เช่น ศิลปะ บริการ ร้องเพลง

เราต้องสร้าง “ลัลล้า... อีโคโนมี” ชิวๆ สนุกๆ ไม่ทุกข์ไม่โศก เราต้องใช้เรื่อง “ลัลล้า” ให้เป็นเงิน

เราต้องจัดการศึกษาด้านลัลล้าให้มากขึ้น เด็กไทยขนาดสอนแต่วิชาการ ความลัลล้ายังโดดเด่นออกมาจากเด็กไทย

“ปลาต้องอยู่ในน้ำ... มันถึงจะเป็นอัจฉริยะ อย่าเอามันมาปีนต้นไม้” - การศึกษาไทยก็เช่นกัน เรายัดเยียดในสิ่งที่ไม่ใช่เราให้เด็กเราหรือเปล่า?

โลกเข้าไปสู่ Experience Economy แล้ว ไม่ได้ซื้อแค่สินค้า แต่ซื้อประสบการณ์ อาชีพเต้นกินรำกิน เอาแต่เล่น ลัลล้า พวกนี้แหละ จะกลายเป็นเงิน

เราต้องมองให้เห็นโอกาส ต่อยอดจากโอกาส ไม่ใช่เห็นแต่ปัญหา ถ้าเห็นโอกาส ไปไกลกว่า จะเห็นโอกาสได้ต้องมองโลก มองประเทศในทางบวก ครูอาจารย์ต้องเห็นก่อน ลูกศิษย์จะได้มองเห็นด้วย

ถ้าเห็นแต่ปัญหา ก็จะถูกพันธนาการด้วยปัญหา เป็นการมองโลกในแง่ร้าย

มันขึ้นอยู่กับวิธีคิด อย่างเรื่องนักท่องเที่ยวจีนก็คิดได้หลายแบบ คิดว่า “เขาเสียงดัง แย่งกันกิน” หรือ “เขามาช่วยเรา เอาเงินมาให้ประเทศเรา”

อย่ามองจีนและสหรัฐ ว่าเขายิ่งใหญ่ น่ากลัว แล้วเอาแต่หนี แต่ให้มองว่าเขาเป็นยักษ์ใหญ่ เราจะขี่หลังยักษ์และหากินหาเงินจากเขายังไง

เราต้องใจใหญ่ ต้องกล้า เราต้องฝึกให้คนรุ่นใหม่กล้า เพราะคนรุ่นเก่าใจฝ่อ ถูกสอนมาให้กลัว

พึงระลึกไว้ว่า กระแสบูรพาภิวัตน์ “เป็นคุณ” ต่อประเทศไทย

ป.ล. เรียบเรียงโดย ผศ. สมเกียรติ รุ่งเรืองวิทยะ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรังสิต

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บ้านอบเชย ของหวานชั้นครู

   คราวที่แล้วผมพาคุณ ๆ ไปชิมอาหารคาวเมืองอุตรดิตถ์ คราวนี้ผมจะพาคุณไปชิมขนมหวานกันบ้างจ้ะ เจ้าของร้านเป็นเพื่อนเก่าจริง ๆ คือเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ชั้นประถม เธอเกิดมาเพื่อทำอาหาร เพราะชื่อนามสกุล คือ อบเชย อิ่มสบาย ชื่อเล่นว่าแอ เธอปรีชาสามารถเป็นถึงอดีตบรรณาธิการอาหารนิตยสาร "ครัว" สำนักพิมพ์ "แสงแดด" เพราะฉะนั้นการเจนจบในเรื่องอาหารคาว อาหารหวานคงไม่ต้องพูดถึง

   ก่อนอื่นผมบอกตรง ๆ นะ ว่าไม่เคยไปซื้อขนมที่ร้านของแอ หรือชื่อร้านบ้านอบเชยเลยสักครั้งหนึ่ง เพราะผมกลับอุตรดิตถ์น้อยมาก เมื่อก่อนตอนอาคนกลางผมยังไม่เสีย เช้ามาท่านจะออกไปซื้อของอร่อย ๆ เช่น ขนมหวานบ้านอบเชยนี่หล่ะมาให้ผมทาน อยากทานก็ตามผมมาเจ้าข้าเอ๋ย

    เริ่มต้นด้วยทับทิมกรอบ อันนี้คือของอร่อยยืนพื้นที่ถ้าคุณไปร้านบ้านอบเชยมีโอกาสได้กินสูงมาก แป้งที่เคลือบแห้วนั้นนุ่มแต่ไม่เละ น้ำกะทิมาพร้อมความมันและความหวานกลมกล่อมชั้นครู เมืองไทยเรามีอร่อยหลายเจ้า ทำถึงชั้นครูก็หนีกันไปไม่ได้มากอร่อยประมาณนี้จะเที่ยวหาอร่อยกว่าก็ยากแล้ว แต่ของแอจะได้เปรียบว่าเป็นกะทิสด ๆ หอม ๆ ความจริงอยากจะบอกว่าอยู่ชั้นไร้เทียมทานก็จะหาว่าเอะอะผมก็ให้เกรดไร้เทียมทาน รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็แล้วกันนะจ๊ะ ผมโชว์รูปทับทิมกรอบก่อน



   ตามด้วยลูกตาลและรากบัวเชื่อม โอ้พระเจ้า อาหารจากสวรรค์มันช่างใกล้ตัวเรา




      ฟิวชั่นเครื่องสามอย่างด้วยกันพร้อมถั่วแดงลอดช่อง ฯลฯ กลายเป็นรวมมิตรมะพร้าวอ่อน ใส่น้ำแข็งหน่อยอร่อยถึงขั้นปิดร้านมาออกงานให้โรงแรม ห้างร้านที่เปิดใหม่อยู่เป็นประจำ




                                   





   ดึก ๆ หมึกสีม่วงอย่างนี้ขืนเขียนต่อผมต้องน้ำลายไหลไปหาอะไรกิน ผมขอฉีกแนวไปหาขนมโบราณที่ดูฝืดคอผมหน่อยดีกว่าจ้ะ แอทำได้หลายอย่างมาก ๆ ตัวโชว์ด้านล่างคือขนมดอกลำดวนคุณเห็นทองคำเปลวที่ปิดไหม คนโบราณรู้ว่าธาตุทองสำคัญกับร่างกายเลยเอาทองคำเปลวว่าแปะหน้าขนมเสริมธาตุทองกินแล้วทั้งมงคลกาย มงคลใจ ไม่เคยกินละซี้



แถมตัวรองท๊อปอย่างขนมหน้านวลมาให้ตื่นตาตื่นใจ


ขนมอีกอย่างที่แอทำแล้วดังมากคือจ่ามงกุฎ ทำแบบนาน ๆ ทำครั้ง มีวาสนาต่อกันถึงจะได้กิน ถ้าคุณจะแต่งงานและอยากหาขนมขันหมากงานแต่งงานชิ้นเอกโทร.หาแอได้จ้ะ

 

    ทุกวันนี้อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเชิญเธอไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่เป็นประจำ เห็นเธอบ่นว่าคอร์สเต็มเร็ว ก็น่าจะเร็วแหละแม่คุณเอ๋ย แรก ๆ เก็บหัวละ 200 บาท ลูกศิษย์กลัวอาจารย์ขาดทุนหลัง ๆ ขอร้องจ่ายหัวละ 500 บาทเนี่ยนะ ถ้างกหน่อยอย่างผมจะสอนฝรั่งเก็บหัวละ 5000 บาท เอาละถือว่าช่วยกันอนุรักษ์มรดกไทย


 อยากดูรูปเพิ่มเติมไปที่ Facebook แล้วค้นหา "บ้านอบเชย"

ใบประกาศที่ผมมอบให้

-       ใบประกาศอร่อยชั้นครู
-       ใบประกาศอนุรักษ์มรดกไทย
-       ใบประกาศความซื่อสัตย์กับผู้บริโภค


บ้านอบเชยเป็นร้านอินดี้แผงเล็ก ๆ ใน ตลาดสดเทศบาล 3 (ตลาดไปรษณีย์) จังหวัดอุตรดิตถ์อยู่ตรงข้ามธนาคารออมสินเปิดตั้งแต่ 7 ถึง 11 โมงเช้า จำง่ายแบบ เซเว่น อีเลฟเว่น ใครไปไม่ถูกหรืออยากโทร.สั่งของ โทร.หาแอได้ที่ 081-874-5595 บอกเขาว่าผมแนะนำมาเขาจะขึ้นราคาให้คุณจ้ะ (ขอย้ำว่าขึ้นนะไม่ใช่ลด..555)





วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต

วันนี้ได้รับไลน์เรื่องเกี่ยวกับคณะแพทย์มหาวิทยาลัยรังสิต เห็นว่าน่าสนใจดีจึงขออนุญาตท่านเจ้าของบทความโพสต์ไว้ในบล็อกแห่งนี้เป็นประโยชน์กับสาธารณชนสืบไปจ้ะ

ปล. ผมก็ศิษย์เก่าสถาบันนี้ ขอขอบคุณหมอที่เสียสละเวลาตอบกระทู้ให้ประโยชน์กับคนทั่วไป
ที่อเมริกามหาวิทยาลัยเอกชนทั้งนั้นเลยที่เป็น  Ivy League

 -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กระทู้ถาม (น่าจะที่พันทิพนะ ผมเสริชหาไม่เจอ)

แพทย์ศาสตร์ ม.รังสิต เห็นคนไปสอบเยอะจัง ค่าเทอมจ่ายเอง แล้วจบไป จะเข้า รพ.รัฐ เอกชนได้เหรอ


ที่มีข่าวถึงขนาดต้อง โกงกันเข้าด้วยเทคโนโลยี ขั้นสูง เข้าไปแล้วต้องลงทุนจ่ายค่าเทอมแพงๆอีก ไม่เหมือนมหาลัยอื่น จบมา จะได้รับการยอมรับวงกว้างแค่ไหนเหรอ จะคุ้มกับการอ่านหนังสือ และค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปมหาศาลไหมอะนะ #ใครรอบรู้ช่วยชี้แนะที แค่ความเห็นส่วนตัว

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอบ

ก็ไม่รู้สินะ ผมจบแพทย์รังสิตรุ่นสิบ จบมาก็มาจับสลากได้มาอยู่จ.นครศรีธรรมราช จากนั้นก็เอาทุนไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ศิริราช ก็จบกลับมาทำงานที่นครศรีธรรมราช ได้ช่วยเหลือคนเยอะไป
ทุกวันนี้คนจบแพทย์รังสิตก็ไปเป็นอาจารย์อยู่ในโรงเรียนแพทย์หลายสิบคน ทั้งจุฬา รามา ศิริราช ก็ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี หลายคนก็ได้ทุนไปศึกษาต่อเมืองนอกทั้งอเมริกา อังกฤษ ยุโรปมากมาย
ฉะนั้นมาตรฐานน่าจะได้อยู่ครับ

ตั้งแต่ปี 2532 ครับ ดร.อาทิตย์ ท่านมีความคิดที่จะสร้างคณะแพทย์เอกชนขึ้นมา เนื่องจากเห็นว่าทางรัฐบาล ไม่สามารถสร้างบัณฑิตแพทย์ได้เพียงพอกับความต้องการข องประชาชน (ย้อนไปปี 32 สมัยนั้นปีนึง รัฐผลิตหมอได้เพียงปีละ 600 คนครับ) ท่านก็เห็นว่าแต่ละปี คนไทยส่วนนึงก็ส่งลูกไปเรียนหมอเมืองนอก พวกฟิลิปปินส์ ยุโรป อเมริกา อินเดีย แล้วค่อยกลับมาทำงานในเมืองไทย แล้วทำไมเราไม่สร้างคณะแพทย์ขึ้นมาบ้างโดยเป็นของเอกชน

แค่นั้นแหละครับ ก็เกิดการประท้วงและแอนตี้กันอย่างถล่มทลายของเหล่าแพทย์ในสมัยนั้น ว่าถ้าหากคณะแพทย์เอกชนเกิดขึ้น ก็จะมีแต่ลูกคนรวยมาเรียนหมอ และจบไปก็จะต้องไปถอนทุนกัน จะเกิดแพทย์พาณิชย์ ใครมีเงินก็เรียนได้ เรื่องก็บานปลายจนเอาไปอภิปรายในสภา (สมัยนั้นดร.อาทิตย์เป็นรมต.สาธารณสุขด้วย) แต่ก็ไม่ย่อท้อ สู้จนเกิดเป็นคณะแพทย์ได้ 

การต่อสู้นั้นไม่ได้เอาปืนมายิงคนที่ไม่เห็นด้วยนะครับ แต่เป็นการทำให้เห็น เอาอาจารย์จากสถาบันการแพทย์ต่าง ๆ ในประเทศนี่แหละมาร่วมร่างหลักสูตร ไปเชิญ ศ.นพ.ประสงค์ ตู้จินดา ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านกุมารเวชของเมืองไทยมาเป็นคณบดี เอาอาจารย์ไปศึกษาดูงานด้านการพัฒนาคณะแพทยศาสตร์ในต่างประเทศ เช่นส่งไปดูงานที่ harvard university ( harvard นี่เป็นเอกชนนะครับ) john hopskin (เอกชนอีก) มีการเซ็นสัญญาให้นศพ.รังสิต ต้องไปฝึกงานในรพ.ของรัฐ (ตอนแรกดร.อาทิตย์จะให้ฝึกงานในรพ.เอกชนด้วย แต่โดนทางแพทยสภาค้านว่าเคสไม่หลากหลาย) มีการกำหนดว่า นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรังสิตต้องสอบใบประกอบวิชาชีพ แพทยสภาให้ผ่านก่อน ถึงจะจบเป็นหมอได้ (ของเดิมนี่แพทย์ที่อื่นจบแล้วได้เลยครับ มีแต่ของรังสิตที่ต้องสอบ)

ช่วงตั้งใหม่ ๆ ก็มีคณะแพทย์หลายแห่งนะครับ มาเสนอว่าถ้างั้นให้มาเป็นเครือดีไหม เช่นของจุฬาและมหิดล ก็เสนอว่าให้มาใช้หลักสูตรกับเค้า และตอนจบก็รับปริญญาของจุฬาไป เช่น ปริญญาแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ วิทยาลัยรังสิต แบบนี้ แต่ทางดร.อาทิตย์และอาจารย์ประสงค์เองท่านก็ไม่ยอม อยากให้คณะแพทย์นี้เป็นของรังสิตแท้ ๆ ก็มีการฝ่าฟันอุปสรรคมาเรื่อยๆ

ปัญหาอีกอันนึงก็คือเมื่อเด็กรังสิตมาฝึกงานที่ราชวิถี หมอในราชวิถีสมัยนั้นหลายท่านก็คัดค้านอย่างรุน แรง เพราะไม่อยากสอนรังสิต มีการทะเลาะกันในห้องประชุมถึงขั้นทุบโต๊ะ ชี้หน้าด่าคณบดี ว่าเป็นทาสน้ำเงิน (ตอนนั้นหมอประสงค์ท่านก็ 60 ปลาย ๆ ครับ ) แต่หมอประสงค์ก็ใช้ขันติ อดทนอธิบายให้กับหมอรุ่นหลานที่เข้าใจท่านผิด ๆ ค่าเทอมทั้งหมดของแพทย์รังสิตตั้งแต่ชั้นปีที่ 4-6 ตกปีละ 150 ล้าน บริจาคเข้าราชวิถีหมดนะครับ ในนามมูลนิธิสถาบันร่วมผลิตแพทย์ กรมการแพทย์-มหาวิทยาลัยรังสิต สรุปคือทางรังสิตเองจะได้เฉพาะค่าเทอมช่วงปี 1 -3 เท่านั้นครับ

เงินบริจาคที่เข้าราชวิถี ก็เป็นเงินที่นำไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน ซื้อเครื่องมือ ให้ทุนอาจารย์ไปเรียนเพิ่มเติม สร้างตึกและครุภัณท์ทางการแพทย์ให้กับราชวิถี ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป หลายคนที่มีอคติกับทางแพทย์รังสิตก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นครับ

ตอนนี้แพทย์รังสิตเปิดมาได้ 27 ปี มีหมอจบไปแล้วเกือบยี่สิบรุ่น สิ่งที่น่าภูมิใจคือมีหมอรังสิตไม่ถึง 20 เปอร์เซนต์นะครับ ที่ลาออกไปทำงานเอกชน (เพราะคนเรียนรังสิตได้นี่ เรื่องเงินไม่ค่อยสำคัญแล้วครับ) ส่วนใหญ่จะทำงานในรพ.ของรัฐ ไปเป็นอจ.ที่โรงเรียนแพทย์เยอะมาก ๆ ทั้งจุฬา ศิริราช รามา หลายคนได้รางวัลระดับประเทศเยอะแยะครับ ฉะนั้นไม่ใช่ทองชุบแน่นอน

เรื่องการสอบใบประกอบนะครับ หลังจากที่รังสิตเป็นคณะแพทย์แห่งเดียวที่ต้องสอบ ใครไม่ผ่านก็สอบใหม่ ทำให้คนที่จบไปรับรองได้ครับว่าผ่านมาตรฐานแพทยสภาแน่นอน จะเห็นว่าบางคนต้องสอบถึง 5-6 รอบ กว่าจะผ่าน ไม่ใช่ให้ผ่านง่าย ๆ ครับ และทำให้ตอนหลัง เมื่อมีคณะแพทย์ใหม่ ๆ เปิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แพทยสภาจึงออกกฎว่าต่อไปนี้ แพทย์ทุกสถาบัน ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพเหมือนรังสิตให้ผ่านก่อน ครับ ถึงจะเป็นหมอได้

ส่วนโมเดลของรังสิตที่เอานศพ.ไปฝากเรียนที่รพ.ราชวิถีนั้น ต่อมาทางกระทรวงก็ได้พัฒนาโมเดลความร่วมมือนี้ เกิดเป็นสถาบันแพทย์พระบรมราชชนกขึ้น คือการสร้างแพทย์ชนบท โดยการให้นศพ.ช่วงปี 1-3 เรียนกับมหาวิทยาลัยส่วนกลาง แต่พอขึ้นชั้นคลีนิคก็ส่งไปทำงานในรพ.จังหวัดที่ตัวเองอยู่ครับ

ฉะนั้นผมภูมิใจที่ได้เรียนในสถาบันแห่งนี้ครับ
และช่วยกันทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่นเค้าเห็นครับ
ว่าเราหมอรังสิต ไม่ใช่แค่หมอรวยขี้เก๊กครับ
ช่วยกันทำให้คนอื่นรู้ครับ ว่าหมอที่นี่ หน้าตาดีและจิตใจงามด้วย

555

Cr. เจ้าของคำตอบครับ

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Portland Oregon วันหยุด - ภาค 2

เขียนถึง Portland Oregon ภาคหนึ่งไว้วันนี้มาต่อภาค 2 กันจ้ะ

-------------------------------------------------------------------------------------------

เดินเล่นในเมือง เขาทำรูปสัตว์กับน้ำพุไว้รอบ ๆ มองไปก็หย่อนใจดีจ้ะ บอกแล้วเมืองนี้น่าอยู่







ศาสนาพุทธเติบโตมากในภาคพื้นตะวันตก เมืองนี้ก็มีพระธรรมฑูตจาริกไปเผยแผ่ คนไทยที่ไม่คุ้นกับอากาศของอเมริกาชอบว่าพระทำไมใส่ถุงเท้า ใส่บู๊ต เอ่อ - พระก็รู้จักหนาวนะโยม พี่หมีตามหลังพระไปแล้ววว




 เมืองฝรั่งนั้นท้องฟ้าสีฟ้าหาง่าย ไม่เหมือนเมืองจีนนะ เราคิดว่าหมอกจริง ๆ มันเป็นฝุ่นควันเล็ก ๆ จาก การเผาถ่านหินเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม








ทางเท้ามีสำหรับคนเดินเท้านะ เมืองไทยเราเราจะเอากระถางต้นไม้มาวางก่อน ตามด้วยโอ่งมังกร จากนั้นตั้งหม้อก๋วยเตี๋ยว พร้อมโต๊ะนั่ง อะฮะ - เรายึดทางเท้าเสร็จสมบูรณ์ละ จากนั้นก็ลงมากินพื้นที่ถนนอีกไปเรื่อย ๆ เศร้าจัง




ขนส่งมวลชนเขาเท่ห์ดี 




พาไปเที่ยวตลาดดีกว่า วันเสาร์ชาวไร่ชาวนา ของเขาก็มาขายของแบบตลาดนัดกัน เรียกว่า Saturday market หรือ Farmer market

มีเนื้อเจอร์กีทำจาก วัว ควายและกวาง ให้เลือกรับประทานได้ตามอัธยาศัย




ซื้อพรมขนแกะไหม อันนี้บ้านเราไม่ค่อยเห็น (มีคนนึกในใจว่าบ้านเราร้อนจะตายห่า เอามาทำอะไรละ)


มันเขาหล่ะ ได้ตังค์เสียด้วย





เครปร้อน ๆ


คุณว่าไหมว่าขนมปังฝรั่งแข็งกว่าขนมปังบ้านเราเยอะ บางคนบอกว่าขนมปังฝรั่งเศสนี่ตีหัวหมาได้เลย จริง ๆ แล้ว ขนมปังที่นุ่มนั้นเขาใส่เนยขาวซะเยอะจ้ะ มันไม่ดีต่อสุขภาพสักเท่าไหร่นะจ๊ะ



สวยงาม น่าอุดหนุน




อากาศดีอย่างนี้ต่อแถวกันยาวทุกร้าน ดูหน้าตาเขามีความสุขกันจัง


ผมชอบเฮียคนนี้มาก เท่ห์อ่ะ




ปั่น ๆ ๆ แล้วก็ ปั่น ๆ ๆ

ฉากคลาสสิกคือเด็ก ๆ มาเล่นน้ำพุ และกินไอติม


นี่ก็อีกหนึ่งฉากคลาสสิก



ไอ้หนุ่มผมยาว ศิลปินเดี่ยว



เก็บไอเดียไว้เผื่อใครสนใจทำขายมั่ง


เจอมนต์ขันธิเบตไป หมาน้อยถึงกับหลับ



 พิซซ่าที่ดีต้องใช้มะเขือเทศสดมาปรุงแบบนี้ สปาเกตตี้ก็เหมือนกัน



เจอสโมคกี้ของตาลุงนี่น้ำลายไหลเลยหล่ะ สีสันดูดี แกเรียกว่าอะไรนะอิตาเลียนแซนวิชเหรอ ฝรั่งนี่อากาศดีเป็นต้องปิ้งย่างกินกัน ไปบ้านฝรั่งที่ไหนแม้แต่ในเมืองไทยก็ต้องมีเตาไว้ปิ้งย่าง ดูหนัง Taken หรือเปล่าละ ตอนที่เลียม นีลัน กะเพื่อนนั่งคุยกันตอนกลางคืน แกก็ย่างของแกล้มเบียร์เรื่อยไป




อันนี้เป็นแนวสุขภาพนะ ขอบคุณครับ



โรตีใส่ไส้มั๊งอันนี้





มากาฮงของฝรั่งเศสหรือที่เราเรียกว่ามาการอง หลากหลายเชื้อชาติจังตลาดนี้



ดึกด้วย หิวด้วย ต้องขอนอนก่อน เดี๋ยวภาค 3 ผมจะพาคุณไปดูป่าของเขากันจ้ะ